ในช่วงหน้าฝนแบบนี้กลุ่มโรคที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ คือ “กลุ่มโรคที่มากับยุงลาย” ซึ่งกลุ่มโรคเหล่านี้จะมียุงลายเป็นพาหะนำโรค และไม่ติดต่อจากคนสู่คน โดยโรคที่พบบ่อยในประเทศไทย ได้แก่ โรคไข้เลือดออก (Dengue Fever) โรคไข้ชิคุนกุนยา (Chikungunya Fever) และโรคไข้ซิกา (Zika Fever)
#โรคไข้เลือดออก เป็นอีกหนึ่งโรคที่ระบาดในช่วงฤดูฝน เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) มี 4 สายพันธุ์ โรคไข้เลือดออกนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกกลุ่มอายุ และสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้! หากเกิดอาการรุนแรง แม้ว่าจะเคยติดเชื้อไข้เลือดออกแล้ว ก็สามารถติดเชื้อซ้ำได้ ถ้าหากได้รับเชื้อต่างชนิดกัน
หลายท่านอาจมีอาการไข้ หรืออาการคล้ายเป็นหวัด แต่อาการดังกล่าวอาจเป็นอาการของโรคไข้เลือดออก สำหรับอาการเด่น หรือวิธีสังเกตอาการของโรคไข้เลือดออก ผู้ป่วยจะมีอาการดังนี้
- ไข้สูง (นาน 2-7 วัน)
- ปวดตัว ปวดกล้ามเนื้อ
- ปวดกระบอกตา
- ตัวแดง ตาแดง
ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก อาจมีอาการไข้สูงได้ถึง 40 องศา และอาจเกิดอาการชักจากไข้สูงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยเด็กเล็ก นอกเหนือจากอาการข้างต้นที่เป็นอาการเด่นของโรคไข้เลือดออกแล้ว ยังพบอาการระบบอื่นๆ ที่พบได้บ่อย ได้แก่
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ถ่ายเหลว
- ท้องอืด
โรคไข้เลือดออกมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ทั่วร่างกาย (เฉลี่ย 0.3-1%) ได้แก่ ภาวะตับอักเสบ ภาวะไตวาย ภาวะสมองอักเสบ และภาวะอวัยวะในร่างกายล้มเหลวหลายระบบ (Multiple Organ Failure: MOF) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาวะแทรกซ้อนรุนแรงดังกล่าวจะสามารถพบได้น้อยแต่ต้องระวัง!
เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี เสี่ยงเกิดอาการชักจากไข้สูง อาการชักเนื่องจากภาวะสมองอักเสบจากไข้เลือดออก
ผู้ใหญ่อายุ 15-60 ปี เป็นกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันตอบสนองกับเชื้อไวรัสรุนแรง เสี่ยงเกิดโรครุนแรง เกิดภาวะตับอักเสบ หรืออวัยวะภายในอักเสบ ได้มากกว่าผู้ป่วยสูงอายุ
เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาแล้ว ผลกระทบจากการเคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาแล้ว ผู้ป่วยกลุ่มนี้ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันบางส่วน ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อครั้งที่ 2 หรือครั้งต่อๆ มา ได้มากขึ้นกว่าปกติ
ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน โรคปอด โรคหัวใจ มีโอกาสเกิดโรครุนแรงได้มากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยโรคปอด และโรคหัวใจ จะเสี่ยงเกิดอาการช็อก และทำการรักษาได้ยากกว่าผู้ป่วยกลุ่มอื่นๆ
ไข้เลือดออก จะแบ่งอาการออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะไข้ขึ้นสูง ระยะวิกฤตหรือระยะช็อก และระยะฟื้นตัว ซึ่งในช่วงระยะที่ 2 จะเกิดขึ้นเมื่อไข้เริ่มลดลงใน 24 ชั่วโมงแรก ซึ่งจะต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ หากไม่มีภาวะช็อกในช่วงระยะที่ 2 อาการป่วยจะค่อยๆ ดีขึ้น และเข้าสู่ระยะฟื้นตัว หรือระยะปลอดภัย
อาการที่บ่งบอกว่าผู้ป่วยใกล้จะหายจากโรคไข้เลือดออก และเข้าสู่ระยะปลอดภัยแล้ว หลังจากที่มีไข้สูงต่อเนื่องนาน 2-7 วัน ไข้จะเริ่มลดลงครบ 24 ชั่วโมง รู้สึกสบายตัวขึ้น เบื่ออาหารน้อยลง รู้สึกอยากรับประทานอาหาร และมีปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น ระบบไหลเวียนของโลหิต ความดันโลหิต และชีพจรเริ่มกลับมาเป็นปกติ ในระยะนี้มักมีผื่นแดงขึ้น คันตามร่างกาย ปลายมือ และปลายเท้า |